วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หน้าแรก    อุปกรณ์      ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม      จากเส้นใยสู่ผืนผ้า          เกี่ยวกับเรา


ขั้นตอนการทำผ้าไหม
เริ่มต้นจากที่มาของเส้นไหมแต่ละเส้น
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในประเทศไทยส่วนใหญ่จะทำกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับว่ามีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับดังจะเห็นได้ว่าทางราชการได้สนับสนุนให้หลายโครงการ และพยายามเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรให้หันเหจากการเลี้ยงไหม ที่ทำในลักษณะอาชีพเสริม ซึ่งเลี้ยงกันในครัวเรือ มาเป็นอาชีพรองหรืออาชีพหลัก เนื่องจากอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยง ไหมสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นอย่างดี และทำให้เกษตรกรมีงานทำตลอดทั้งปีเป็นการยกระดับการครองชีพของเกษตรกรให้ดีขึ้น
ลักษณะการเลี้ยงไหม
     การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของเกษตรกร โดยทั่วไปมี ๓ ลักษณะ คือ
๑.อุตสาหกรรมในครัวเรือน (จำหน่ายเส้นไหม) การเลี้ยงไหมแบบนี้ส่วนใหญ่ทำเป็นอาชีพเสริม ทำกันภายในในครัวเรือนตั้งแต่ปลูกหม่อน - เลี้ยงไหม จนถึงการทำเป็นผืนผ้า พันธุ์ใหม่ที่ใช้เลี้ยงเป็นพันธุ์ไทย และพันธุ์ไทยลูกผสม มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

  1.ปลูกหม่อน
2.เลี้ยงไหม
3.สาวเส้นไหม

4.ทอผ้า
                                                                                                                  

๒.เลี้ยงไหมเพื่อจำหน่ายรัง การเลี้ยงแบบนี้สามารถทำเป็นอาชีพรองหรืออาชีพหลักได้โดยเกษตร กร จะปลูกหม่อนมากกว่าแบบแรกเลี้ยงไหมพันธุ์ต่างประเทศลูกผสมประมาณรุ่นละ ๑ เดือน ก็ได้เงินแล้วไข่ไหมที่ใช้เลี้ยงจะรับจากศูนย์วิจัยและสถานีทดลองหม่อนไหมหรือบริษัทก็ได้ เกษตรกรจะนำผลผลิตตรังไหมไปจำหน่ายแก่โรงงานสาวไหมในราคาประกันตามคุณภาพ
                                                                                      1.ปลูกหม่อน -->เลี้ยงไหม
                                                                2.จำหน่ายรังไหมส่งโรงงาน


๓.บริษัท การเลี้ยงไหมแบบนี้ เป็นเกษตรกรรายใหญ่ มี โรงงานสาวเส้นยืนบาง บริษัทอาจจะมีการทำกิจกรรมหลายอย่างเช่น การปลูกหม่อน การเลี้ยงไหม การเลี้ยงไหมวัยอ่อน การผลิตไข่ไหม การจำหน่ายอุปกรณ์ต่าง ๆ การฝึกอบรมและโรงงาน ทอผ้าไหม เป็นต้น ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ
การปลูกหม่อน
     ปัจจุบันการปลูกหม่อนส่วนใหญ่ยังใช้เพื่อการเลี้ยงไหม แต่มีบางส่วนปลูกหม่อนเพื่อขายใบ เพื่อนำไปเลี้ยงไหม หรือส่งโรงงานผลิตชา แต่ทั้ง ๒ วัตถุประสงค์ ก็มีการดูแลรักษาเหมือนกัน อาจแตกต่างกันใน รายละเอียดบางประการดังนั้นในเบื้องต้นควรรู้จักลักษณะและธรรมชาติของหม่อน เพื่อนำไปพื้นฐานในการดูและรักษาส่วนใบหม่อนให้ได้ผลผลิตสูง

1) พันธุ์ไหมไทยนางน้อยศรีสะเกษ1
ลักษณะดีเด่น
เลี้ยงได้ง่าย มีความแข็งแรงสูง
อายุหนอนไหมสั้น เวลาในการเลี้ยงประมาณ 18 วัน
ผลผลิตต่อแผ่น/กล่อง 10 -12 กิโลกรัม
สาวไหมง่าย เส้นไหมสีเหลืองเข้ม
2) พันธุ์ไหมไทยนางน้อยสกลนคร
ลักษณะดีเด่น
ให้ผลผลิตต่อแผ่นไข่ไหม 15 -20 กิโลกรัม
พ่อแม่พันธุ์แยกเพศได้ในระยะหนอนไหม ทำให้สะดวกในการผลิตไข่ไหม
พันธุ์ไหมไทยลูกผสม
1) พันธุ์ไหมไทยลูกผสมอุบลราชธานี 60-35 (ดอกบัว)
ลักษณะดีเด่น
เลี้ยงได้ง่าย มีความแข็งแรงสูง
อายุหนอนไหมสั้น เวลาในการเลี้ยงประมาณ 18 วัน
ผลผลิตต่อแผ่น/กล่อง 15 -16 กิโลกรัม
เปอร์เซ็นต์การสาวง่าย 63 %
2) พันธุ์ไหมไทยลูกผสมสกลนคร
ลักษณะดีเด่น
มีความยาวเส้นใยยาวและสาวง่าย
มีความแข็งแรงเลี้ยงได้ตลอดปี
ผลผลิตต่อแผ่น/กล่อง 21.4 กิโลกรัม
เปอร์เซ็นต์การสาวง่าย 71%
3) พันธุ์ไหมไทยลูกผสมอุดรธานี
ลักษณะดีเด่น
มีความแข็งแรงเลี้ยงได้ตลอดปี
มีความต้านทานต่อโรคแกรสเซอรี่ (โรคเต้อ)
ผลผลิตต่อแผ่น/กล่อง 15 – 16 กิโลกรัม
เปอร์เซ็นต์การสาวง่าย 66%
4) พันธุ์ไหมไทยลูกผสมสกลนคร 2
ลักษณะดีเด่น
เป็นพันธุ์ไหมไทยลูกผสมที่มีความแข็งแรงต้านทานต่อเชื้อที่ทำให้เกิดโรคแกรสเซอรี่
มีเส้นใยยาวและสาวง่าย
ให้ผลผลิตต่อแผ่น / กล่อง (1 แผ่น = 2000 ตัว) 25 -30 กิโลกรัม

การสาวไหม (Silk Reeling)
         
การสาวไหม คือ การดึงเส้นใยออกจากรังไหมให้ได้ขนาดตามต้องการในการทอผ้า ในประเทศไทยมีการสาวไหมแบบพื้นเมืองมานานแล้ว เป็นการสาวไหมด้วยมือ ซึ่งแบ่งเกรดเส้นไหมได้ 3 ชนิด คือ
          1.  เส้นไหมหนึ่งหรือเส้นไหมยอดหรือไหมน้อย ได้แก่เส้นไหมที่ได้จากการสาวเส้นใยชั้นในของรังไหม การสาวไหมยอด คือ การเอาปุยและเส้นใยชั้นนอกของรังไหมออกก่อน แล้วจึงสาวเอาแต่เพียงเส้นใยชั้นในเท่านั้น เส้นไหมที่ได้จะมีลักษณะเส้นเล็ก ละเอียด และเรียบ ส่วนมากนิยมใช้แทนเส้นไหมยืนในการทอผ้าไหม
          2.  เส้นไหมสองหรือเส้นไหมสาวเลย ได้แก่ เส้นไหมที่ได้จากการสาวควบกันทั้งปุยและเส้นใยทั้งหมดให้เสร็จคราวเดียวกัน ลักษณะเส้นไหมที่สาวได้หยาบและเส้นใหญ่กว่าไหมหนึ่งใช้เป็นเส้นไหมพุ่งได้เพียงอย่างเดียว
          3.  เส้นไหมสามหรือเส้นไหมลืบ ได้แก่ เส้นไหมที่ได้จากการสาวเส้นใยชั้นนอกลักษณะเส้นไหมที่สาวได้จะเป็นเส้นหยาบและเส้นใหญ่กว่าไหมสอง

         
การจำแนกประเภทของเส้นไหมตามกรรมวิธีทอผ้า แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
          -  เส้นไหมยืน ( warp ) คือ เส้นไหมทางยาวของการทอผ้า ควรเป็นเส้นไหมที่มีความสม่ำเสมอ ไม่มีปุ่มปม มีความเหนียวและความยืดตัวดี
          -  เส้นไหมพุ่ง ( weft ) คือ เส้นไหมทางขวางของการทอผ้า ในบ้านเรามักใช้เส้นไหมที่สาวมือเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เนื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ นอกจากนี้ยังมีเส้นไหมพุ่งอีกชนิดหนึ่งซึ่งสาวด้วยเครื่องจักร โดยทั่วไปเรียกเส้นไหมชนิดนี้ว่าไหมดูเปี้ยน ( dupuion ) หมายถึงเส้นไหมที่สาวมาจากรังไหมเสีย ( หรือรังที่คัดออก ) เช่น รังแฝด รังหลวม เป็นต้น ซึ่งรังไหมเหล่านี้ไม่สามารถนำไปสาวเป็นไหมยืนได้แล้ว เส้นไหมชนิดนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นไหมพุ่งที่สาวด้วยมือก็ใกล้เคียงกับไหมสองหรือไหมสาวเลย
          กระบวนการผลิตเส้นไหมยืน ( process of filature )
         
การผลิตเส้นไหมยืนมีขั้นตอนสัมพันธ์กันเหมือนลูกโซ่ ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งบกพร่องจะส่งผลให้เส้นไหมมีคุณภาพด้อยลงโดยมีขั้นตอน ต่าง ๆ ดังนี้
          1.  การเก็บรังไหมออกจากจ่อ (cocoon harvesting)  การเก็บรังไหมทำโดยเก็บรังไหมภายหลังไหมเข้าทำรังแล้ว6-7 วัน ดักแด้เจริญเติบโตสมบูรณ์เต็มที่ ในฤดูร้อนการเก็บเกี่ยวรังไหมจะเร็วกว่าฤดูหนาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภายในของหนอนไหมที่เลี้ยงในฤดูร้อนจะรวดเร็วกว่า
          2.  การรวบรวมรังไหมเพื่อส่งขาย (cacoon collection)  รังไหมที่เก็บจากจ่อควรได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม เพราะภายในรังไหมดักแด้ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ามีการกระทบกระเทือนมาก ๆ อาจทำให้ดักแด้ไหมตาย ทำให้รังไหมสกปรก ใช้สาวไหมเส้นยืนไม่ได้ การเก็บรวบรวมมาจำหน่ายต้องเก็บใสภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ดี เช่น ใส่ถุงผ้า ใส่เข่ง เป็นต้น และควรคัดเลือกรังเสียออก
          3.  การขนส่งรังไหมสด (transportation of cacoon)  รังไหมมีดักแด้ที่มีชีวิตอยู่ภายในจึงต้องการอากาศหายใจ ในการขนส่งทางรถ เรือ หรือวิธีใดก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการระบายอากาศของรังไหม วิธีการที่ดีคือบรรจุรังไหมในถุงผ้าประมาณ 10-15 กิโลกรัมต่อถุง ถ้าบรรจุมากกว่านี้จะเกิดการทับถมกันมาก การระบายอากาศภายในถุงไม่ดีทำให้ดักแด้ตายได้ ถ้าการขนส่งระยะทางไกล ๆ ใช้เวลาในการเดินทางนานเกินกว่า 3 ชั่วโมง ควรบรรจุรังไหมในถุงผ้าแล้วใส่ในเข่งอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันการกระแทกหรือบรรจุลงในเข่งเลยก็ได้ ไม่ควรวางถุงผ้าหรือเข่งซ้อนทับกันเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน
           4.  การอบแห้งรังไหม (cacoo drying)  จุดประสงค์ของการอบแห้งเพื่อให้ดักแด้ที่อยู่ในรังตาย ป้องกันการออกเป็นผีเสื้อ โดยผีเสื้อจะเจาะรังไหมออกมาทำให้รังไหมเสียหายไม่สามารถสาวเป็นเส้นไหมยืนได้ และเพื่อให้สามารถเก็บรังไหมไว้ได้นาน
           5.การเก็บรักษารังไหมที่อบแห้งไว้แล้ว (cacoon storage)  รังไหมที่อบแห้งสมบูรณ์แล้วควรเก็บไว้ในห้องที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า70 เปอร์เซ็นต์ และห้องที่ใช้เก็บควรป้องกัน แมลง มด หนู ที่จะมากัดกินหรือทำลายรังไหม
           6.  การคัดเลือกรังไหม (cacoon assorting)  การคัดเลือกรังไม่ดีออกจากรังดี จะทำให้ได้ไหมเส้นยืนมีประสิทธิภาพและคุณภาพเส้นสูง เพราะรังไหมไม่ดีมักทำให้เส้นไหมไม่มีคุณภาพ โดยลักษณะรังไหมไม่ดี หรือรังเสียมี 11 ลักษณะ คือ รังแฝด รังเจาะ รังสกปรกภายใน รังสกปรกภายนอก รังบาง รังหลวม รังบางหัวท้าย รังผิดรูปร่าง รังติดข้างจ่อ รังขึ้นรา และรังบุบ
           7.  การเตรียมรังไหมเพื่อการสาวไหม (preparation cacoon)  รังไหมที่ซื้อมาจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งมีคุณภาพต่าง ๆ กัน หลังจากการคัดรังแล้วต้องนำมาผสมกัน เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ
           8.  การต้มรังไหม (cacoon cooking)  เพื่อให้กาวในรังไหมอ่อนตัว ทำให้ดึงเส้นใยออกจากรังไหมได้ง่ายขึ้น และเส้นใยคลายตัวออกอย่างเป็นระเบียบ
           9.  การสาวไหม  (silk reeling)  เป็นขั้นสุดท้ายของการได้เส้นใยจากรังไหม การสาวไหมเส้นยืนต้องทำการหาเงื่อนเส้นใยให้ได้ก่อนจึงนำลงไปใส่ในอ่างสาวไหม การสาวไหมเส้นยืนมีข้อกำหนด มี 2 วิธี คือ
                - 
กำหนดขนาดคงที่ (fixed size reeling)  โดยใช้อุปกรณ์ตรวจขนาดเส้นไหมแล้วส่งสัญญาณไปยังกลำกป้อนรังไหม ใช้กับเครื่องสาวกึ่งอัตโนมัติและเครื่องสาวอันโนมัติ
               - 
กำหนดจำนวนรัง (fixed number of cacoon)  ขนาดของเส้นไหมขึ้นกับทักษะคนสาวไหม โดยต้องทราบขนาดเส้นใยใน 1 รังเสียก่อน รวมทั้งขนาดในแต่ละช่วงของรัง แล้วจึงกำหนดจำนวนรังที่ใช้ในการสาวไหมได้


ดักแด้ของตัวไหม